สาระความรู้ดีๆ เรื่อง ชา
“ชา” เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกทั้งในภูมิภาคเอเชียและยุโรป เรียกได้ว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของใครหลายๆคนเลยทีเดียว นอกจากความอร่อยและช่วยดับกระหายแล้ว การดื่มชายังแฝงไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมต่างๆ ที่แตกต่างกันไป อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายอีกด้วย
มาทำความรู้จัก “ชา” ให้มากขึ้นกัน
ชาเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลคาเมลเลีย (Camellia) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Camellia sinensis ซึ่งพืชชนิดนี้มีอยู่หลายสายพันธุ์ ใบอ่อนและใบแก่ของพืชชนิดนี้ได้ถูกนำมาชงกับน้ำร้อนได้เครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า จากความนิยมดื่มชาและกรรมวิธีการชงชาที่กระจายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้ในเวลาต่อมาคำว่า “ชา” มีความหมายรวมไปถึง การนำสิ่งใดก็ได้มาชงกับน้ำร้อนแล้วกลายเป็นเครื่องดื่มคล้ายชา โดยเติมคำว่าชานำหน้าชื่อสิ่งที่นำมาชง เช่น ชาใบหม่อน ชากุหลาบ ชาขิง เป็นต้น
สายพันธุ์ชาหลักๆที่นิยมรับประทานกัน มี 2 สายพันธุ์
1. ชาสายพันธุ์จีน นิยมปลูกแบบการเกษตรที่เป็นระบบ เพราะต้องใส่ใจในการปลูกเป็นพิเศษ มีใบลักษณะเล็ก แต่ทนทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดีกว่าชาอัสสัม และนิยมนำมาทดลองผสมพันธุ์ชาจากแหล่งต่างๆ เข้าด้วยกัน
2. ชาสายพันธุ์อัสสัม ชาอัสสัมมีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย มีลักษณะใบชาที่ใหญ่ เจริญเติบโต และทนต่อสภาพอากาศได้ดี ปลูกได้หลายพื้นที่ ดูแลง่ายตามธรรมชาติจึงทำให้มีผลผลิตที่เยอะ และราคาค่อนข้างถูก
หากทำความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ น้ำชาที่เราดื่มกันทุกวันนี้ มาจากใบชาจีนและใบชาอัสสัม แต่สำหรับชาที่เรียกว่า ชาเขียว ชาอู่หลง ชาดำ ที่คุ้นเคยกันนั้น ไม่ใช่สายพันธุ์ชา แต่เป็นประเภทของชาโดยแบ่งตามกระบวนการผลิตที่ต่างกัน ทำให้มีรสชาติ และกลิ่นหอมที่ต่างกันออกไป
ชนิดของชาแบ่งตามกรรมวิธีการผลิต
ในขั้นตอนการผลิตชา หลังจากการเก็บเกี่ยว ใบชาจะถูกทิ้งให้สลด และจะทำการหมัก หรือทำให้ช้ำ โดยการใช้ความร้อนหรือนำใบมาทับกัน ทำให้เอนไซม์ในใบชาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (oxidation) กับออกซิเจนในอากาศ ใบชาจะมีสีเข้มขึ้น คลอโรฟิลล์ในใบชาจะแตกตัวกลายเป็นสารแทนนิน (Tannin) ที่มีสถานะเป็นกรดอ่อนและมีรสฝาด จากนั้นจึงทำการฆ่าเอนไซม์เพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นโดยการใช้ความร้อน และทำให้แห้ง เพื่อให้เก็บรักษาได้นานขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดกลิ่นที่แตกต่างกันในใบชาแต่ละชนิด โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ
1. ชาที่ไม่ผ่านการหมักเลย
ในกลุ่มนี้จะนำใบชามาผึ่งลมในเวลาสั้นๆ เพื่อเป็นการลดความชื้นของใบชาลงเล็กน้อย
แล้วทำการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในใบชาทันที โดยอาศัยความร้อน ทั้งแบบร้อนแห้ง
และแบบร้อนชื้นจากไอน้ำ เมื่อทำการยับยั้งเอนไซม์ในใบชาแล้ว
สารเคมีในชาจะคงสภาพไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเคมีไปเป็นสารอื่น ทำให้ทั้งสี กลิ่น และรส
จะยังคงคล้ายใบชาสดที่เก็บมาจากต้น เมื่อนำมาชงจะได้น้ำชาสีอ่อนใส และได้รสชาติที่รับประทานง่าย
เช่น ชาขาว ชาเขียว ชามัทฉะ เป็นต้น
2. ชาที่ผ่านการหมักกึ่งหนึ่ง
ในกลุ่มนี้จะเลือกใช้ใบชาที่มีอายุมากกว่ากลุ่มแรก
นำไปผึ่งแดดผึ่งลมในที่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างเหมาะสม และนำมานวดให้ช้ำพอประมาณ
เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นบางส่วน แล้วจึงทำการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ด้วยความร้อน
และนำไปอบให้แห้ง ชาที่ได้จากกรรมวิธีการผลิตแบบนี้มีชื่อเรียกหลายอย่าง
แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักดื่มชาทั่วโลก และนำมาเป็นชื่อตัวแทนของใบชาในกลุ่มนี้คือ
“ชาอู่หลง (Oolong Tea)” ชาอู่หลงมีสีเหลืองอมน้ำตาล กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นของสมุนไพร ดอกไม้ ธัญพืช
และผลไม้รวมๆ กัน รสชาติเข้มข้นมีรสฝาดและขมเล็กน้อย (อยู่ตรงกลางระหว่างชาเขียวและชาดำ)
3. ชาที่ผ่านการหมักอย่างสมบูรณ์
ในกลุ่มนี้จะเป็นการนำใบชามาผึ่งลม นานราว 18 ชั่วโมง โดยต้องทำการควบคุมความชื้นอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 จากนั้นจะนำใบชามานวดให้ช้ำ หรือทำการม้วนบี้ เพื่อทำให้ใบชาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้มากขึ้น โดยหมักทิ้งไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปอบแห้ง ใบชาที่ได้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ และมีกลิ่นที่เปลี่ยนไป รสชาติก็จะออกไปทางฝาดมากกว่าชาสองชนิดแรก ชาที่ได้จากกรรมวิธีนี้เรียกว่า ชาดำ (แต่ที่เมืองจีนจะเรียกว่า ชาแดง)
ชา 5 ชนิดที่ควรรู้จัก!
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับชา 5 ชนิด ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี แต่ก็อาจมีอีกหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ชาแต่ละชนิดมีความพิเศษเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ กลิ่นหอม หรือประโยชน์ต่อสุขภาพ การได้รู้จักชาทั้ง 5 ชนิดนี้มากขึ้น จะช่วยให้คุณดื่มชาอย่างมีความสุขและเข้าใจถึงความแตกต่างของชาแต่ละชนิดได้ดียิ่งขึ้น
1. ชาเขียว (Green Tea)
ชาเขียวเป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก เป็นการนำยอดอ่อนของชาไปอบหรือคั่วให้แห้งทันที
ซึ่งจะไม่มีการนวดหรือหมัก เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น
ทำให้ใบชายังคงสีเขียวและรสชาติใกล้เคียงใบชาธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น
ชาเขียวมีรสชาติสดชื่น อมขมเล็กน้อย กลิ่นหอมเหมือนหญ้าอ่อนๆ นอกจากนี้ ชาเขียวยังมีสาร
Epigallocatechin gallate (EGCG) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(antioxidant)
ช่วยป้องกันความเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่ กระตุ้นระบบเผาผลาญ
และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการดื่มชาเขียวคือช่วงเช้าหรือช่วงกลางวัน
เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมอง หรือหากต้องการให้ช่วยในการย่อยอาหาร ควรดื่มก่อนรับประทานอาหาร 30
นาที
2. ชาอู่หลง (Oolong Tea)
เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักแบบกึ่งหนึ่ง
โดยการนำยอดอ่อนของชามานวดให้ผิวช้ำเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นสารแทนนินให้ออกมามากขึ้น
จากนั้นอบให้แห้งทันที ชาวจีนเชื่อว่าใบชามีสารบางอย่างที่มีสรรพคุณในการชะล้างไขมัน กลิ่นคาว
และเมือกต่างๆได้ จึงนิยมดื่มชาหลังจากทานอาหารมันๆ เพื่อแก้เลี่ยน
และสารแทนนินในใบชายังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้ จะช่วยชำระล้างเชื้อโรค
สิ่งสกปรกในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยลดอาการท้องเสียได้ ชาอู่หลงมีรสชาติที่หลากหลายและซับซ้อน
ตั้งแต่กลิ่นหอมแบบดอกไม้ ไปจนถึงรสผลไม้แห้ง ซึ่งทำให้ชาอู่หลงมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
การดื่มชาอู่หลงในช่วงเช้าจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า และหากดื่มในช่วงบ่ายจะช่วยกระตุ้นสมอง
แก้ง่วงได้ดี
3. ชาดำ (Black Tea)
ชาดำเป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างสมบูรณ์ โดยการนำยอดอ่อนของชามานวดอย่างเต็มที่
แล้วนำมาหมักจนได้กลิ่นหอม จากนั้นนำมาทำให้แห้งโดยการอบ
ชาดำเป็นชาที่มีกระบวนการหมักที่ยาวนานมากกว่าชาอู่หลง และชาเขียว
ทำให้ชาดำมีรสชาติที่เข้มข้นที่สุดจากประเภทของชาทั้งหมด
ชาดำมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและช่วยเร่งการเผาผลาญได้ดี
ชาดำแนะนำให้ดื่มช่วงหลังอาหารกลางวัน 2-3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพ
แต่ไม่ควรดื่มในช่วงเวลาก่อนนอนเพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากมีปริมมาณคาเฟอีนสูงกว่าชาชนิดอื่น
4. ชาขาว (White Tea)
ชาขาวเป็นชาที่ผ่านกระบวนการผลิตน้อยที่สุด โดยมักจะนำส่วนที่เป็นยอดอ่อนที่ยังมีขนอ่อนปกคลุมอยู่
ไปผ่านการตากแห้ง เมื่อนำไปชงจะได้ชาสีเหลืองอ่อน รสชาติมีความเบาและอ่อนโยน ไม่เปรี้ยวและไม่ขม
แต่ยังคงความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เหมือนกลิ่นดอกไม้
เหมาะสำหรับการดื่มในช่วงเวลาที่ต้องการการพักผ่อน ช่วยลดความเครียด ทำให้ผ่อนคลายได้
อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอวัยได้เป็นอย่างดี
ชาขาวเป็นชาที่แทบไม่มีคาเฟอีน หรือมีน้อยมาก จึงสามารถดื่มได้ทุกเวลา หากดื่มก่อนนอน
ก็จะช่วยลดความอยากอาหารและเพิ่มการเผาผลาญได้ดี
5. ชาสมุนไพร (Herbal Tea)
ชาสมุนไพรไม่ใช่ใบชาจริงๆ แต่เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากสมุนไพร ดอกไม้ หรือผลไม้แห้ง
แต่ที่เราเรียกกันว่าชาเพราะเป็นวิธีการชงเหมือนกับใบชา
ซึ่งจะมีรสชาติและกลิ่นรสแตกต่างกันไปตามส่วนผสมที่ใช้
และยังมีประโยชน์เฉพาะตัวตามสมุนไพรที่ใช้ด้วยเช่นกัน เช่น ชาคาโมมายล์ที่ช่วยให้หลับสบาย
ชาขิงที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด และชามินต์ที่ให้ความสดชื่น
ประโยชน์ของชาสมุนไพรแทบจะครอบจักรวาลเนื่องจากมีหลากหลายชนิด
แต่ก็ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่เหมือนชาอื่นๆ เช่น ช่วยในการย่อยอาหาร ต้านการอักเสบ เป็นต้น
ชาสมุนไพรเป็นชาที่ไม่มีคาเฟอีน จึงดื่มได้ทุกช่วงเวลา

สารสำคัญในชา มีอะไรบ้าง?
สารเคมีที่อยู่ในชาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นและรสของใบชาที่แตกต่างกัน เมื่อครั้งใบชายังอยู่บนต้นชา สารสำคัญที่มีอยู่ในใบชาจะเป็นสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) โดยสารที่มีบทบาทสำคัญ คือ สารคาเทชิน (Catechins) นอกจากสารกลุ่มฟลาโวนอยด์แล้ว ก็ยังมีสารกลุ่มแซนทีนอัลคาลอยด์ (Xanthine alkaloids) ได้แก่ คาเฟอีน (Caffeine) และ ธีโอฟิลลีน (Theophylline) เป็นต้น ซึ่งสารกลุ่มแซนทีนอัลคาลอยด์นี้ จะเป็นสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
จากการศึกษาวิจัยชาที่มีมานานทำให้ทราบว่า สารเคมีที่อยู่ในใบชานั้นมีมากกว่า 500 ชนิด โดยสารกลุ่มที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์นั้นได้แก่ สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ กรดอะมิโน วิตามิน คาเฟอีน และ น้ำตาลหลายโมเลกุล (Polysaccharides)
- ในใบชามีปริมาณวิตามินซีสูง โดยพบว่าในชาเขียว 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 100 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาดำมีน้อยกว่า นอกจากนี้ ยังพบวิตามินบีหลายชนิดในใบชา รวมถึงพบวิตามินอี และวิตามินเคด้วย
- ในใบชาพบกรดอะมิโนราว 25 ชนิด ซึ่งกรดอะมิโน ธีอานีน (Theanine) จัดเป็นกรดอะมิโนที่พบมากที่สุด โดยพบมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณกรดอะมิโนรวมทั้งหมด
- สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพในชามากที่สุดคือสารในกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งมีปริมาณที่แตกต่างกันไปในชาแต่ละชนิด โดยพบว่าในชาเขียวมีปริมาณสารโพลีฟีนอลสูงที่สุด นั่นก็คือ สารคาเทชิน ซึ่งมีความเด่นชัดที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระ
- ชาทุกชนิด (ยกเว้นชาสมุนไพร) มีคาเฟอีนในปริมาณที่แตกต่างกัน แม้ว่าชาจะมีคาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟ แต่ก็ยังส่งผลต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน จึงควรหาข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณคาเฟอีนในชาแต่ละประเภท เพื่อจะได้เลือกดื่มชาได้เหมาะสมต่อร่างกายของแต่ละคน
| ประเภทชา | ลักษณะการผลิต | คาเฟอีน (มก.) ต่อแก้ว 240 มล. |
|---|---|---|
| ชาดำ | ผ่านกระบวนการหมักเต็มที่ | 40–70 |
| ชาอู่หลง | ผ่านกระบวนการหมักบางส่วน | 30–50 |
| ชาเขียว | ไม่ผ่านการหมัก/อบด้วยไอน้ำหรือคั่วทันที | 20–45 |
| ชาขาว | ไม่ผ่านการหมัก/ใช้ยอดอ่อนอบแห้ง | 15–30 |
| ชาสมุนไพร | ดอกไม้/สมุนไพร ชงกับน้ำร้อน ไม่มีใบชา | 0 |
ประโยชน์ต่างๆ ของชา
ชาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มที่มอบความอร่อยผ่านรสชาติและกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยสารประกอบที่มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายของเรา วันนี้เราจะมาดูกันว่าการดื่มชามีผลดีต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง
1.
ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
หนึ่งในประโยชน์ของชาที่โดดเด่นและได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือการเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ
โดยเฉพาะสารในกลุ่มโพลีฟีนอล ที่มีชื่อว่า "คาเทชิน (Catechins)" ซึ่งในชาเขียวและชาขาว
จะมีสารคาเทชินในปริมาณสูง โดยสารคาเทชินที่ทรงพลังที่สุดชื่อว่า สารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต
(Epigallocatechin gallate) หรือ EGCG สารชนิดนี้จะช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์
ที่เกิดจากอนุมูลอิสระทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย เช่น จากมลภาวะ แสงแดด หรือความเครียด
ซึ่งหากมีอนุมูลอิสระมากเกินไป จะทำให้เซลล์ร่างกายเสื่อมสภาพ เกิดริ้วรอยก่อนวัย
และเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงหลายชนิด การดื่มชาเป็นประจำจึงช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ ช่วยชะลอวัย
ทำให้ผิวพรรณดูสดใส และสุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น
2. ช่วยบำรุงสมอง ลดความเครียด
ในชามีกรดอะมิโนชนิดพิเศษ นั่นก็คือ แอล-ธีอานีน (L-Theanine)
ซึ่งมีผลต่อการทำงานของคลื่นสมองโดยตรง โดยจะกระตุ้นให้สมองสร้างคลื่นอัลฟามากขึ้น
ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะที่เราผ่อนคลาย มีสมาธิ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกง่วงซึม นอกจากนี้
การทำงานร่วมกันระหว่างแอล-ธีอะนีน และคาเฟอีนในชา ยังส่งผลดีอย่างมากต่อการทำงานของสมองในด้านอื่นๆ
คาเฟอีนทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้นที่ช่วยให้เรารู้สึกตื่นตัวและลดความเหนื่อยล้า
ในขณะที่แอล-ธีอะนีนช่วยปรับอารมณ์ให้สงบและเพิ่มสมาธิ ทำให้สมองปลอดโปร่ง
และมีความจำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การดื่มชาในระยะยาวยังมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการเสื่อมสภาพตามวัย
ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสันได้อีกด้วย
3. ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจ
มีหลายงานวิจัยพบว่า สารฟลาโวนอยด์ในชาโดยเฉพาะในชาเขียวและชาดำ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี
(LDL) และลดระดับความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
หนึ่งในงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียววันละ 4 ถ้วยขึ้นไป เป็นเวลา 8 สัปดาห์
มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจวายลดลง 32% และระดับ LDL ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
และมีอีกงานวิจัยเป็นการศึกษาโดยติดตามผลเป็นเวลา 11 ปี พบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวมากกว่า 5
แก้วต่อวัน มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยลง เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม การดื่มชาเป็นประจำ
จึงเป็นการดูแลหัวใจอย่างหนึ่ง ที่ง่ายและได้ผลดีในระยะยาว
4. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
ชามีสารประกอบหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
โดยเฉพาะสารฟลาโวนอยด์และแทนนิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสบางชนิด
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า สาร EGCG
ในชาเขียวอาจมีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค
ดังนั้น การดื่มชาอุ่นๆ สักแก้ว เมื่อรู้สึกไม่สบายหรือในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง
ก็เป็นวิธีดูแลสุขภาพเบื้องต้นที่ดีวิธีหนึ่ง
5. ช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก
สารคาเทชินในชามีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดในช่องปากได้ โดยเฉพาะเชื้อ
Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดฟันผุและคราบพลัค
อีกทั้งชายังเป็นแหล่งของฟลูออไรด์ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของสารเคลือบฟัน
ดังนั้นการดื่มชา(ที่ไม่เติมน้ำตาล) หลังมื้ออาหาร จึงไม่เพียงแต่ช่วยล้างปากให้สดชื่น
แต่ยังช่วยลดแบคทีเรียและป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากได้อีกทางหนึ่ง
6. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
ชาสมุนไพรบางชนิด มีส่วนช่วยดูแลระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี เช่น ชาเปปเปอร์มินต์
เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการช่วยคลายกล้ามเนื้อในช่องท้อง
บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและแก๊สในกระเพาะอาหาร ชาขิง ช่วยลดอาการคลื่นไส้และกระตุ้นการย่อยอาหาร
ในขณะที่ ชาคาโมมายล์ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้รู้สึกผ่อนคลาย
การจิบชาอุ่นๆ หลังมื้ออาหาร
จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่นและสบายท้องมากขึ้น
7. ช่วยในการควบคุมน้ำหนักและเผาผลาญไขมัน
สารคาเทชินและคาเฟอีนที่ทำงานร่วมกันในชามีส่วนช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้นชั่วคราว
ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น นอกจากนี้ สาร EGCG
ยังมีบทบาทในการเพิ่มกระบวนการออกซิเดชันของไขมัน หรือการดึงไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้เป็นพลังงาน
โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับวัตถุประสงค์นี้มักจะเป็น ชาเขียวและชาอู่หลง
เนื่องจากมีปริมาณสารคาเทชินสูง
8. ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังบางชนิด
ด้วยคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบที่เป็นต้นตอของโรคเรื้อรังหลายชนิด
การดื่มชาเป็นประจำจึงมีความเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคเหล่านั้น
มีการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าประชากรในกลุ่มที่ดื่มชาเป็นประจำมีอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่
2 และโรคหลอดเลือดสมองต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มชา แม้ว่าชาจะไม่ใช่ยาวิเศษที่สามารถป้องกันได้ทุกโรค
แต่การดื่มชาเป็นประจำถือเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้ร่างกายในระยะยาว
Food Ingredient Technology Co., Ltd. เป็นตัวแทนจำหน่าย ชาเขียว ชาดำ และชาขาว (Instant Tea Powder - ชนิดผงที่ละลายน้ำได้ทันที) สารสกัดจากผลไม้และสมุนไพรต่างๆ รวมถึง วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารได้หลากหลายชนิด เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์นม อาหารเสริม เบเกอรี่ และขนมหวาน เป็นต้น โดยทางบริษัทได้มีการนำเข้าสารสกัดต่างๆ มาจากผู้ผลิตชั้นนำจากประเทศในยุโรป และเอเชีย ทั้งในรูปแบบเดี่ยว (Single) และในรูปแบบพรีมิกซ์ (Premix) และสามารถพัฒนาและนำเสนอสินค้าในรูปผลิตภัณฑ์พรีมิกซ์ตามที่ลูกค้าต้องการได้ หากสนใจสามารถติดต่อ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ E-mail : sales@fit-biz.com
เรียบเรียงและอ้างอิงจาก :
1. บทความเรื่อง “เรื่อง ชา ชา”, www.scimath.org/article-biology
2. บทความเรื่อง “12 ประโยชน์ของชา ดื่มอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ”,
https://bluemochathailand.com
3. บทความเรื่อง “ชา มีกี่ประเภท? ใช้หลักเกณฑ์อะไรในการแบ่ง?”, https://food.trueid.net
4. บทความเรื่อง “ชามีกี่ชนิด ? ไขข้อสงสัย ชาที่คุณดื่มคือชาอะไร?”,
https://thesixsaturday.com
5. บทความเรื่อง “เช็กก่อนดื่ม ปริมาณคาเฟอีนในชา ความหลากหลายที่ควรรู้ก่อนเลือกดื่ม”,
www.hillkoff.shop
6. บทความเรื่อง “ดื่มชาอย่างเข้าใจ ได้ประโยชน์เพื่อสุขภาพเต็มที่”, www.nestle.co.th
เรียบเรียงโดย :
อทิตยา ทรัพย์สะสม
เจ้าหน้าที่วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาวุโส / Food Supplement
